【ทีวีออนไลน์ช่อง 24】LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช่แล้วครับ ทรัมป์ เขาคนนั้นจะกลับมาพร้อมกับระลอกใหม่ของสงครามการค้า กำแพงภาษี นโยบายแรงงาน และความผันผวนจากการโพสต์ผ่าน X 

 

ในบทความนี้ผมจึงอยากชวนคุยในประเด็นนโยบายของทรัมป์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 พร้อมกับการปรับพอร์ตสินทรัพย์การลงทุนกันครับ

 

นโยบายการคลังของทรัมป์เป็นไปได้สูงว่าจะยังคงดำเนินมาตรการคงหรือลดภาษีนิติบุคคลที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 หรือกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) และอาจปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% เพิ่มเติมอีกด้วย

 

‘นโยบายการค้า’ ของทรัมป์จะจัดเก็บภาษีนำเข้า 10-20% กับทุกประเทศทั่วโลก และภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีน

 

‘นโยบายแรงงาน’ ของทรัมป์ยังคงความชาตินิยมและสนับสนุน America First โดยจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้สัญชาติอเมริกัน 

 

‘นโยบายพลังงาน’ ของทรัมป์ จากความเชื่อในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซภายในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการยกเลิก Inflation Reduction Act (IRA) ของ โจ ไบเดน ที่โฟกัสพลังงานสะอาดหรือข้อตกลงปารีส

 

‘นโยบายการเงิน’ ของทรัมป์จะส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลในทุกด้าน ทั้งการทำให้สหรัฐฯ เป็น ‘เมืองหลวงของโลกด้าน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี’ และข้อเสนอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Reserves) รวมถึงประเด็นที่ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน หรือเปลี่ยนตัว เจอโรม พาวเวลล์

 

‘นโยบายด้านความมั่นคง’ ของทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องสันติ ซึ่งอาจนำไปสู่การสนับสนุนให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และโน้มน้าวอิสราเอลให้สงบศึกกับฮามาส

 

นโยบายอื่นๆ ของทรัมป์ เช่น สนับสนุนสิทธิในการพกอาวุธ การไม่ลงนามในกฎหมายห้ามทำแท้ง และแต่ละรัฐควรกำหนดนโยบายการทำแท้งของตนเอง 

 

ผลกระทบต่อการลงทุนที่ผมมองเห็นอย่างชัดเจนมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่

 

ประการที่ 1 คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์จะเติบโตต่อ จากมาตรการช่วยเหลือการลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ โดยตลาดคาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0-1.5% รวมถึง S P 500 และ Nasdaq ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.4-1.0%

 

ประการที่ 2 คือ น้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดหมีในขณะที่เงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้ ทั้งการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตหรืออุปทานของน้ำมันโลกก็เยอะมากอยู่แล้ว รวมไปถึงการเจรจาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ หากสำเร็จราคาน้ำมันดิบคงไม่สวยแน่สำหรับปี 2025

 

ประการที่ 3 คือ ความผันผวนคือสิ่งที่แน่นอนในปี 2025 แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลง แต่นั่นไม่อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงตาม เพราะราคาสินค้าและบริการจะแพงขึ้นทั่วโลก รวมถึงมาตรการแรงงานที่เน้นคนอเมริกัน เราอาจจะเห็นเงินเฟ้อจากที่ส่งผ่านค่าแรงอีกระลอกก็เป็นได้ ด้วยความคลุมเครือนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงยังต้อง ‘Data Dependent’ กันต่ออีกปี รวมถึงความเสี่ยงเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

ผมจึงอยากนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนกองทุน SSF RMF ต้อนรับปี 2025 กันครับ การลงทุนในสหรัฐฯ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBRS2000(SSF) ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ตามดัชนี Russell 2000 และสำหรับ RMF ผมแนะนำ KUS500XRMF ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ตามดัชนี S P 500 (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน)

 

ส่วนการลงทุนในคริปโตและหุ้นเทคโนโลยี สำหรับ SSF ผมแนะนำ TNEXTGEN-SSF ซึ่งลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet และสำหรับ RMF ผมแนะนำ TISCONEXTGENRMF-A

 

การลงทุนป้องกันเงินเฟ้อ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBGOLDH-SSF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) และสำหรับ RMF ผมแนะนำ SCBGOLDHRMF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) เพราะเงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้

 

อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุนรับปี 2025 และลดหย่อนภาษีกันนะครับ 

 

นโยบายของทรัมป์และผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ 

 

อ้างอิง: 

CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro Wealth Research, CGSI Quantitative Team, Bloomberg) สามารถติดตาม THE STANDARD WEALTH
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้งานอยู่แล้วได้เลย FacebookTwitter XInstagramLine OABlockditYoutubeTikTok