【999bet เครดิตฟรี】วัยหนุ่ม 2544 : สูญดับไปในสายลมและวันเวลา | เดลินิวส์
ถ้าผู้ปกครองกลัวเยาวชนเลียนแบบมาก ก็ต้องดูแลบุตรหลานของตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ผลักภาระให้สื่อและสังคม ไม่ใช่มาตั้งความหวังว่าหนังทุกเรื่องต้องเป็นหนังเรทจี ( general )..การสั่งสอนคือหัดให้คิดแบบเอาหนังทั้งเรื่องมาคิดภาพรวม ไม่ใช่คิดแบบตัดมาเป็นต่อนๆ ที่มันดูเท่แล้วเอาไปเลียนแบบ วัยหนุ่ม 2544 เป็น“หนังเชิงต่อต้านความรุนแรง” แต่มันก็ใช้ความรุนแรงเพื่อการขับเคลื่อนเหตุการณ์ไปข้างหน้า และสรุปด้วยความคิดว่า “ความรุนแรงไม่เคยแก้ไขได้ด้วยความรุนแรง และมันจะตามต่อมาเป็นลูกโซ่อย่างไม่รู้จบสิ้นเมื่อไร” ก็สอนให้ชัดว่า ความรุนแรงในเรื่องนำไปสู่อะไร
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ตอนแรกก็คิดๆ ว่า วัยหนุ่ม2544 อาจไม่ประสบความสำเร็จ “เท่าที่ควรเป็น” คือคาดหวังให้มันได้รายได้มากกว่านี้ในช่วงออกฉายสัปดาห์แรก ที่คิดเช่นนั้นเพราะมันฉายชนหนังผีอารมณ์ดีอย่าง 404 สุขีนิรันดร์ run run ..แต่ไปๆ มาๆ ด้วยหน้าหนังที่ดูดราม่าเข้มข้น อาจเป็นตัวดึงดูดให้คนอยากได้หนังไทยรสชาติใหม่ๆ ได้เยอะ.. ไม่ใช่แค่หนังพระเอกหล่อนางเอกสวย ใช้เกรดสีสว่างๆ หรือหนังผี ..อย่างไรก็ตาม อยากบอกเล่าความรู้สึกว่า “หนังไทยหลายๆ เรื่องมีปัญหาเรื่องการเขียนบทสนทนาจริงๆ” เพราะมันไม่เป็นธรรมชาติ การรับส่งอารมณ์ในหนังหลายเรื่องแข็งเป็นหินเพราะ 1.นักแสดงยังไม่เชื่อในบทสนทนา หรือบทของตัวเอง 2.บทสนทนาถูกเขียนอย่างประดักประเดิด บางเรื่องมึงมาพาโวยเยอะ บางเรื่องก็ตัวละครหญิงเสียงแหลมแปร๊ดๆๆๆ ใส่กันจนฟังแล้วเวียนหัว
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์แต่ในวัยหนุ่ม 2544 น่าจะเพราะนักแสดงแต่ละคนสนิทคุ้นเคยกัน เคยผ่านหนังเรื่อง 4Kings ทั้งสองภาค ที่ผู้กำกับคนเดียวกัน คือพุฒิพงษ์ นาคทอง การรับส่งบทสนทนาจึงเนียนกริบ
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์สำหรับ“รสชาติใหม่ๆ”ที่ว่าข้างต้น คือการเข้าไปเห็นในโลกที่น่าจะเรียกว่า“โลกต้องห้าม”ก็คงได้ คือเป็นโลกที่เราได้ยินได้ฟังคนผ่านประสบการณ์มา เราอยากรู้อยากเห็นว่าในนั้นเป็นอย่างไรแต่ไม่อยากเข้าไปอยู่ แรงขับหนึ่งที่ทำให้คนสนใจโลกต้องห้ามคือเรื่องเซกส์ในนั้นแหละ เมื่อหนังคุกวัยหนุ่มออกมา เราก็เจอการเล่นมุข“หนมน๊าๆๆ” อันหมายถึงการต่อรองขอมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศในคุก ฝั่งคนอยากมีก็จะเอาของ- อาหารไปให้อีกฝ่าย แล้วกลางคืนก็ไปสะกิดบอก “หนมน๊าๆๆ” เพื่อเรียกมามีเพศสัมพันธ์ด้วย..แต่ถ้าจะคาดหวังฉากเพศสัมพันธ์ในหนังเรื่องวัยหนุ่ม 2544 แนะนำว่า ไปหาหนังสือเกี่ยวกับคุกอ่านเอามันจะได้ภาพชัดกว่า เพราะฉากอย่างว่าเรื่องนี้มันหดหู่
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ตัวละครที่ถูกนำเสนอภาพความรุนแรงในคุกมากที่สุด คือ ตัวฟลุ๊ค ( ภูมิภัทร ถาวรศิริ ) เป็นกะเทยที่ถูกล่อซื้อยา ความน่าสนใจของตัวละครนี้คือการสะท้อนภาพความทุกข์ของ LGBT+ เมื่อ 20 ปีก่อน ยุคที่ “กะเทยแบบเพลงสุดท้าย” ก็ยังเป็นภาพจำของคนไทย ว่า เป็นกะเทยแล้วถึงทุ่มเทในรัก ก็ต้องไม่สมหวังในรัก ต้องโดนผู้ชายหลอก ในวัยหนุ่ม บทฟลุ๊คเองก็ต้องติดคุกเพราะถูกยัดยาแทนแฟนหนุ่ม แม้จะสิ้นอิสรภาพ แต่ฟลุ๊คก็ยังหวังจะมีโอกาสถามไถ่ให้ได้รู้เขาสบายดีไหม ( จากฉากฟลุ๊คแอบจดหมายไว้ใต้หมอนด้วยแววตาพอมีความสุขบ้าง และเสียง V.O อ่านจดหมายที่สุดท้ายถูกพับเป็นเรือ ..มันไม่เคยถูกส่งออกไปจากแดนพันธนาการนี้ )
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ปี 2544 การเหยียดเพศยังเป็นเรื่องตลก ในเรื่องมีการพูดถึงเพลง เกลียดตุ๊ด ของซีเปีย ( ซึ่งมีมาก่อนนั้นร่วม 10 ปี ) และภาพการมองกะเทยในยุคนั้น ยิ่งในกลุ่มคลั่งความเป็นชาย พวกยึดถือแนวคิดชายเป็นใหญ่ (patriarchy ) กะเทยคือพวกวิปริต ต้องบ้าอวัยวะเพศชาย ( และจะดูตลกเมื่อผู้ชายทำร้ายกะเทยที่มาจีบ ) เป็นภาพเหมารวม ในปี 2541 เพลงฮิต ประเทือง ถูกเผยแพร่ครั้งแรก ทำสถิติถูกขอซ้ำบ่อยจนที่คลื่นวิทยุหนึ่ง จนเปิดถึง 3 รอบในชั่วโมงเดียว อวัจนภาษา โทนเสียงในเพลงนี้บอกถึงความรังเกียจแบบ กูนึกว่าผู้หญิง ก่อนเพลงประเทืองออกไม่นาน ก็มีเพลง ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ของเจินเจิน ถูกแปลงเป็น เป็นตุ๊ดมันผิดตรงไหน
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ยิ่งกันคนหลากหลายทางเพศไปในทางน่ารังเกียจ ตลก ในพื้นที่คลั่งความเป็นชาย ณ พศ.2544 การเป็นกะเทย ถ้าไม่มีพวกอยู่ยากเพราะโดนล่วงละเมิดทั้งทางกาย วาจา ใจ ..ตัวฟลุ๊คเป็นคนนอกในสังคมแบบสองขั้ว ( binary คือยอมรับความเป็นเพศตามเพศกำเนิดเท่านั้น ) ยิ่งการอยู่ในพื้นที่ที่ต่างก็ต้องกดขี่คนอื่นเพื่ออยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าของวังวน คนที่ถูกเหยียบคือคนที่แปลกแยกที่สุด ก็คือฟลุ๊ค แม้ฟลุ๊คทำดีกับเผือก ( ณัฏฐ์ กิจจริต) แต่ที่สุดก็โดนทอดทิ้ง เหมือนตอนมาก็โดนอะไรหนักๆ มาเหมือนกัน แต่เมื่อเผือกหลุดพ้น ฟลุ๊คก็กลายเป็นคนแปลกหน้า (อาจด้วยระบบแบ่ง“บ้าน”ในคุกวัยหนุ่ม ) แต่กระนั้นก็ตาม ในฉากที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่อง “คนที่ควรช่วยฟลุ๊คได้” ก็ยังแสดงการเหยียดด้วยคำพูด
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ในคุก บ้านคลองเตยปฏิบัติต่อฟลุ๊คเหมือน อะไรสักอย่างที่บังเอิญเข้าใจภาษาคน ที่แม้แต่ชื่อก็ดูไม่มีใครสนใจจำ ..มันน่าเศร้าที่กีดกันมนุษย์ออกจากความเป็นมนุษย์เพราะความแตกต่างของเพศวิถี..สิบกว่าปีต่อมา สิทธิมนุษยชนเฟื่องฟูขึ้นจากหลายเหตุ ถ้าฟลุ๊คติดคุกใน พ.ศ.นี้ คงจะมีคนเข้าใจเขามากขึ้น อย่างน้อยก็มีกลุ่มเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ที่สามารถเข้าร่วมได้ หรือไม่ผู้คุมก็ช่วยจัดให้อยู่ในที่ๆปลอดภัย ..เมื่อพูดถึงเพศสภาพของฟลุ๊ค ก็คิดถึงเสรีในเรื่องตัวตนแห่งเพศในยุคนี้ ซึ่งกำลังจะมีสมรสเท่าเทียมต้นปีหน้า ..มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า “ในอดีต กลุ่มหลากหลายทางเพศต้องประสบกับอะไรมาเยอะมาก และพวกเขาต่อสู้กับอะไรหลายๆ อย่างจนคนรุ่นหลังๆ อยู่อย่างมีเกียรติศักดิ์ศรี ได้รับการปฏิบัติด้วยดีมากขึ้น”
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ฟลุ๊ค เป็นตัวละครที่เหมือนถูกจัดวางให้ชะตากรรมเลวร้ายที่สุด เป็นคนที่ไม่มีที่จะอยู่เพราะความแปลกแยก ขณะเดียวกัน ตัวละครอย่าง “บังกัส” ( จ๋าย อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี ) เป็นภาพของคนที่ไม่มีที่ให้ไป การบอกเล่าไม่ต้องให้ตัวละครพูดทำเท่ แต่ใช้การสนทนาระหว่างพ่อที่มาเยี่ยมลูกในคุกเพื่อเล่าว่า เมื่อบังกัสออกไปเขาก็ถูกกีดกันออกจากครอบครัวเพราะพื้นที่คุกเปลี่ยนเขาเป็น“คนนอก”ที่ครอบครัวก็ยังตั้งการ์ดใส่ไปแล้ว
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ตัวละครหลัก ( ที่ดูเหมือนแทบทั้งเรื่องจะเล่าผ่านสายตาตัวละครนี้ ) คือเผือก ( ณัฏฐ์ กิจจริต ) ก็ถูกกระหน่ำชะตากรรมตั้งแต่เด็ก จนเหมือนเป็นตัวละครที่“ไม่ว่าอยู่ในคุกหรือนอกคุก ชีวิตก็อยู่อย่างนี้” เพราะเติบโตมาในพื้นที่ที่เรียกว่า “ใต้ถุนสังคม” สิ่งแวดล้อมคือการค้ายา แกงค์นักเลง แบบชวนคิดว่า “ถ้าออกจากคุก เขาก็คงกลับไปในวัฏจักรความรุนแรงเดิมๆ ของที่ที่จากมา” ซึ่งถ้าจะดูแบบเอาแง่คิด ก็คิดได้ถึงสภาพที่โหดร้ายของความเหลื่อมล้ำที่ยังมีชุมชนที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยการทำผิดกฎหมาย และพร้อมเผชิญความรุนแรงอยู่ในสังคมบ้านเรา ( ซึ่งในเมืองใหญ่ก็น่าจะยิ่งมีมาก ) เช่นนี้แล้ว การจัดการศึกษาและสวัสดิการสังคมจะทำอย่างไร เพราะสิ่งแวดล้อมแบบนี้คือที่บ่มเพาะของความรุนแรง ..การมองภาพเผือก ทั้งในคุกและนอกคุก มันเหมือนการสำรวจมนุษย์ในภาวะ เล้าไก่ อยู่ด้วยกันในเล้าที่ปลายทางคือโรงเชือด แต่ก็ยังดิ้นรน แย่งชิงการมีลมหายใจมากกว่าคนอื่น
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์เรารู้จักภูมิหลังของตัวละครเผือกที่หนังปูพื้นมาบ้างเล็กน้อย ว่า อยู่กับแม่ที่ค้ายา แต่เผือกเป็นเด็กอารมณ์ประมาณ “วันเฉลิม ทองเนื้อเก้า” คือไม่จมปลกลงในความต่ำตมของสิ่งรอบตัว เงื่อนไขที่หนังสร้างขึ้นมานี้บางคนอาจ“ไม่ซื้อ”นัก.. แต่มันคือการจัดวางเพื่อนำตัวละครเข้าพลอต ไปสู่สูตร tragedy หรือโศกนาฏกรรม ที่ “ความผิดพลาดของบุคคลๆ หนึ่ง ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ อารมณ์ชั่ววูบ หรือตัดสินใจผิด หรือจุดบกพร่องอื่นๆ ของตัวเอง ทำให้ชีวิตเขายิ่งถลำดำดิ่งลึกลงสู่ความเลวร้ายจนยากจะควบคุม” โครงสร้างบทเช่นนี้มีให้เห็นได้ในละครกรีกโบราณ, เชคสเปียร์
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์หนังไม่ได้พาเราไปทำความรู้จักตัวละครอื่นมากพอ อย่างตัวเบียร์ ( เป้ อารักษ์ ) และบอย ( ทอป ทศพล หมายสุข ) ตัวร้ายประจำบ้านคลองเตยที่คนเกลียด หรือกอล์ฟ น่าสนใจว่า แต่ละคนถูกหล่อหลอมมาอย่างไร เคยเอาตัวรอดในชีวิตนอกคุกอย่างไร เช่น บอยที่ดูเหมือนห้าว เป็นสายชน แต่อาศัยเงาของเบียร์กำบังตัวอยู่ตลอดเวลา คนที่กลัวบอยก็เพราะกลัวเบียร์ทั้งที่จริงๆ ตัวละครนี้มีความ“ขี้แพ้”( loser ) เก่งแต่วางท่า พอถึงเวลาปะทะจริงๆ จังๆ โดนถีบทีเดียวหลับซะอย่างนั้น หรือตัวกอล์ฟ ( เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี ) ที่ถูกเรียกว่าฝรั่ง เหมือนเป็นที่พึ่งพาของเพื่อนๆ ในคุกได้ ก็ไม่รู้ว่า ก่อนเข้าคุกเขาผ่านอะไรมา หรือมีจุดเปลี่ยนอะไรให้เขาปรับตัวเป็นคนเช่นนั้น ..ตัวละครถูกออกแบบมาบางๆ เน้นอารมณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มดีกับกลุ่มร้าย และโชว์ความเป็น brotherhood หรืออารมณ์แบบ “เพื่อนกัน พี่น้องกัน ตายแทนกันได้”
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์ปูมหลังตัวละครอาจเป็นหรือไม่เป็นช่องโหว่ของหนังก็ได้ แล้วแต่ว่า“จะมีใครติดใจกับเรื่องนี้” แต่โดยภาพรวมหนังสื่อสารสิ่งที่มันตั้งใจออกมาได้ตรง คือ“ความโหดร้ายในคุก” เสิร์ฟอารมณ์ดิบๆ มาตลอดเรื่องแบบมีระยะผ่อนคลายน้อย ไล่ระดับเส้นเรื่องและอารมณ์ให้ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ พอเสิร์ฟดราม่าฟายน้ำตามา มันไม่เศร้า แต่หดหู่ดิ่งลึก ..ดิ่งไปถึงอารมณ์ของคนที่ติดอยู่ในเวลาที่แน่นิ่ง จนเห็นความฝันแตกสลายไปต่อหน้า ต้องยอมรับด้วยความขื่นขม..หันหลังและลืมความฝันทิ้งไป สิ่งที่พอให้ยึดเหนี่ยวจิตใจมีเพียงมิตรภาพจากคนที่เปลี่ยนเวียนเข้าออก ..และหนังก็เดินทางมาถึงจุดจบแบบไม่ประนีประนอม ความรุนแรงไม่ยุติลง แต่มันไปเริ่มฉากใหม่ เพราะ สำหรับคนกลุ่มใต้ถุนสังคม ชีวิตจริงมันเป็นอย่างนี้
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์คิดถึงเพลงประกอบ “เสียดาย”หนัง มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล วรรคหนึ่งที่ร้องว่า “ชีวิตเยาว์วัย ของใครทุกคน มีเพียงหนึ่งหน ทั้งรูปทั้งนาม ขยี้ทิ้งไป ไม่อาจทวงตาม ความสดใสสวยงามเสื่อมทรามสิ้นไป” วัยหนุ่ม 2544 ก็คือหนังที่พูดถึงการเผาไหม้เวลา“ในวัยงดงาม”ให้สูญดับ กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวลับไร้ประโยชน์..ความผิดที่เกิดขึ้นจะโทษใครได้ ระหว่างตัวเองเต็มใจทำผิดโดยอารมณ์ชั่ววูบ หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่บีบบังคับคนๆ หนึ่งเข้าไปในมุมอับ จนต้องตอบโต้ทุกทางแม้จะรู้ว่า ปลายทางของตัวเองอาจนำไปสู่โลกในพันธนาการ..ถ้าจะเอาคำสอนจากหนัง ก็คือต้องใช้สติ คิดให้มากก่อนทำอะไร
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์เพราะไม่รู้ว่า หากเราเอง ทำลายช่วงเวลาที่งดงามที่สุดไป จะเหลือแรงใช้ชีวิตต่อไปด้วยดีได้หรือไม่.
วัยหนุ่มสูญดับไปในสายลมและวันเวลาเดลินิวส์