【เกม 168】การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปี 2024 สะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยัง และจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่?
นับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4/23 ต่อเนื่องมาจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2024 ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2024 (ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2024) ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้น +11.81%YTD, S P 500 +15.29%YTD, EURO STOXX 600 +9.52%YTD, MSCI EM +7.6%YTD และ MSCI AC ASIA PACIFIC +7.98%YTD ตามลำดับ
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมา ได้แก่ เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว นำโดยสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ที่ฟื้นตัวดีกว่าที่ตลาดคาด แนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทเทคโนโลยี ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Supply Chain ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Semiconductor และความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ในมุมมองของเราประเมินว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังสะท้อนปัจจัยบวกต่างๆ ไม่หมด และตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2024 มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ เรายังคงเห็นการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2024 จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในบทวิเคราะห์ World Economic Outlook: Steady but Slow: Resilience amid Divergence ประจำเดือนเมษายน 2024 ในขณะที่ธนาคารกลางในประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอินเดีย ยังคงมีมุมมองที่ดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศหรือภูมิภาคในการประชุมช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน การรายงานกำไรของบริษัทจดทะเบียนนำโดยกลุ่มเทคโนโลยี บริษัทขนาดใหญ่ และบริษัทชั้นนำของโลกโดยส่วนใหญ่มีกำไรดีกว่าที่ตลาดคาด
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในภูมิภาคต่างๆ มีแนวโน้มเข้าสู่ขาลง โดยปัจจุบันเริ่มทยอยปรับลงตามทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง เริ่มจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเดือนมิถุนายน 2024 และธนาคารกลางแคนาดาที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนกันยายน 2024 ที่ระดับความน่าจะเป็น 86.4% อ้างอิงข้อมูลจาก CME FedWatch ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2024 ซึ่งคาดว่าจะยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะถัดมา
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อ้างอิงดัชนี S P 500 ในเดือนกรกฎาคม 2024 ปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 5,600 จุด ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2024 หนุนโดยความคาดหวังของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ในเดือนมิถุนายน 2024 ขยายตัวที่ระดับ 3.0%YoY ลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่ 3.3%YoY และเดือนเมษายนที่ 3.4%YoY ตามลำดับ
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ทิศทางของนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย เศรษฐกิจโลกโดยรวมที่มีเสถียรภาพ และแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่สูง อ้างอิงการคาดการณ์ของ Goldman Sachs Securities ในบทวิเคราะห์ ‘Global Weekly Kickstart’ ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2024 ประเมินการเติบโตของกำไร (EPS Growth) ปี 2024-2025 ของดัชนี MSCI All Country World Index (MSCI ACWI) ที่ 10.5%YoY และ 13.1%YoY ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงเติบโตทั้งในปีนี้และปีหน้า และเป็นการเติบโตแบบเร่งตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในครึ่งหลังของปี 2024
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ทั้งนี้ เรามีมุมมองว่าความผันผวนจะเพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนในหลายประเด็น นำโดยความไม่แน่นอนด้านการเมือง อาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น สำหรับความผันผวนด้านราคา (Volatility) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในดัชนี S P 500 และดัชนี NASDAQ Composite, ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในดัชนี NIKKEI 225 และตลาดหุ้นจีนในดัชนี CSI 300 และดัชนี HSI เร่งตัวขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2024 ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนทั่วโลกกำลังเข้าสู่ช่วงรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่ความผันผวนต่อปี (Annualize) ของดัชนีตลาดหุ้นในแต่ละช่วงเวลา (10 วัน, 30 วัน, 60 วัน, 90 วัน, 180 วัน และ 360 วันย้อนหลัง)
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 มีการเลือกตั้งในหลายประเทศที่สำคัญ สำหรับเดือนกรกฎาคม 2024 มีการเลือกตั้งฝรั่งเศส ซึ่งผลการเลือกตั้งต่างจากผลโพลที่สื่อหลายๆ สำนักเคยสำรวจ และไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากหรือเกินกึ่งหนึ่งในสภา (ที่นั่งในสภาทั้งหมดอยู่ที่ 577 ที่นั่ง) โดยพรรคฝ่ายซ้าย New Popular Front (NFP) ได้ที่นั่งในสภา 188 ที่นั่ง, พรรค Ensemble ของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ได้ที่นั่งในสภา 161 ที่นั่ง ส่วนพรรคฝ่ายขวา National Rally (RN) ได้ที่นั่งในสภาไป 142 ที่นั่ง ตามลำดับ
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
ถัดมาคือการเลือกตั้งอังกฤษ ซึ่งพรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งด้วยที่นั่งในสภากว่า 412 ที่นั่ง จากทั้งหมด 650 ที่นั่ง (ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง) ส่วนการเลือกตั้งที่สำคัญที่สุดในปี 2024 คือการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 โดยในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2024 มีการโต้วาทีครั้งแรกระหว่าง 2 ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ผลโพลหลังการโต้วาทีจากสื่อชั้นนำของโลก เช่น The New York Times, Wall Street Journal, CBS News, Yahoo News, CNN, Harvard-Harris และ Morning Consult ต่างประเมินว่า คะแนนนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นนำโจ ไบเดน ยกเว้นผลโพลของสื่ออย่าง Reuters ที่ประเมินคะแนนนิยมของทั้งคู่หลังการโต้วาทีเสมอกัน จากความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง นโยบายด้านเศรษฐกิจและนโยบายด้านการต่างประเทศที่อาจเปลี่ยนไปตามผู้นำหรือผู้บริหารประเทศกลุ่มใหม่ที่กำลังจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งหลังการเลือกตั้ง เราคาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกและการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงที่เหลือของปี 2024 จะเผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
การลงทุนที่กระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์จึงมีความสำคัญ ทั้งนี้ นักลงทุนอาจใช้การลงทุนในตราสารหนี้ที่ปัจจุบันยังคงมีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond Yield) ที่อยู่ในระดับสูง โดยเรามองว่าควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น (Short-Term Duration) ซึ่งจะได้ผลตอบแทนจาก Bond Yield ที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งเกิดจาก Inverted Yield Curve ที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุสั้นสูงกว่าตราสารหนี้ที่มีอายุยาว โดยอ้างอิงจาก Bloomberg ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2024 ผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.512% สูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีที่ 4.215% นอกจากนี้เรามองว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างจำกัด จากการจ้างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อ ส่งผลให้ Bond Yield ยังคงมีแนวโน้มผันผวนและอาจปรับตัวลงได้อย่างจำกัด การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุสั้นจึงได้ประโยชน์ทั้งด้านผลตอบแทน และความผันผวนที่น้อยกว่า โดยเรามองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ซึ่งมีอายุตราสารหนี้เฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตการลงทุนในครึ่งปีหลัง
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีการเคลื่อนไหว หรือสหสัมพันธ์ (Correlation) กับหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ที่ต่ำ เป็นอีกสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยสินทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องต่ำกว่าสินทรัพย์อื่นๆ แต่การเลือกลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มนี้จำเป็นต้องเลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ และมีผลงานที่ดีต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในกองทุนของสินทรัพย์ทางเลือกที่ตรงคุณสมบัติดังกล่าวในประเทศไทยคือ การลงทุนกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือ Life Settlement ที่มีผลงานพิสูจน์มาแล้วในรูปแบบของกองทุนรวมในไทยตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่
โดยเรามองว่า สินทรัพย์กลุ่มนี้มี Correlation กับสินทรัพย์อื่นๆ อยู่ในระดับต่ำ โดยมี Correlation กับหุ้นโลกโดยอ้างอิงกับ MSCI ACWI อยู่ที่ -0.04 โดยอ้างอิงข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม 2014 มิถุนายน 2024 และมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดี จะเป็นกองทุนที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง และเป็นหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสมในภาวะตลาดการเงินทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกครึ่งปีสะท้อนปัจจัยบวกไปหมดแล้วหรือยังและจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่สามารถติดตาม THE STANDARD WEALTH
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้งานอยู่แล้วได้เลย