【ผลบอลสดthscoreภาษาไทย】‘ผูกพัน-พึ่งพากัน’ กลายเป็นหนึ่งเดียว ‘วิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลาง’ สัมพันธภาพอันงดงาม..‘ช้างและคน’ | เดลินิวส์
“ต้องดูแลทิ้งกันไม่ได้ มันเป็นวิถีชีวิตชาวกวยที่มองช้างที่เราเลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกครอบครัว เป็นพี่น้อง เป็นลูกหลาน เวลานอนก็ต้องนอนใต้ชายคาเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันนี้เราก็ยังคงรักษาวิถีนี้ไว้เหมือนบรรพบุรุษของเรา” เป็น “ความสัมพันธ์” ที่ได้รับการถ่ายทอดบอกเล่าจากตัวแทนชุมชน อธิบาย “วิถีผูกพัน” ของ “คนกับช้าง” ของหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก “บรรพบุรุษชาวกวย” ที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมของพื้นที่ จ.สุรินทร์ โดยที่นี่ได้รับการเรียกขานเป็น “หมู่บ้านช้าง” และยังเป็น “ศูนย์คชศึกษา” ที่มีการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับช้างที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปชมฉากชีวิตของชาวบ้านที่นี่ และสัมผัสกับเรื่องราวความผูกพันระหว่างคนกับช้าง
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ทีมวิถีชีวิต” ได้รับเชิญจากทาง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปร่วมเยี่ยมชม หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งนอกจากจะเป็นหนึ่งใน ลูกค้าหัวขบวนของ ธ.ก.ส. แล้ว ยังเป็น “ศูนย์คชศึกษา” แหล่งเรียนรู้เรื่องช้าง และเป็นศูนย์ช่วยเหลือแก้ปัญหาช้างเร่รอนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งตามโครงการนำช้างคืนถิ่นอีกด้วย รวมไปถึงหมู่บ้านแห่งนี้ยังได้รับการพัฒนาให้เป็น “ชุมชนท่องเที่ยว” เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและคนภายนอกได้สัมผัสและเรียนรู้ถึง “วิถีชาวกวย” ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประเพณี-มีวิถีผูกพันกับช้างมายาวนาน
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์จากซ้ายไปขวา สีรา ประดิษฐ์ – พร
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“ถามว่าเราอยากพาช้างไปเร่ร่อนตามถนนไหม บอกเลยว่าไม่ เพราะรู้ดีว่าการทำแบบนั้นทำให้ช้างเสี่ยงอันตรายมาก แถมยังถูกคนมองว่าไม่ต่างจากขอทาน ซึ่งการที่เราชาวกวยได้ยินคำพูดแบบนี้ มันรู้สึกเจ็บมาก ๆ”เสียงจาก “สีรา สุขสี” ผู้ใหญ่บ้านตากลาง ระบายความรู้สึก เพื่อยืนยันว่าไม่มีชาวกวยคนไหนอยากจะพาช้างที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวไปเดินเสี่ยงอันตรายบนท้องถนน แต่ด้วยสภาพบีบบังคับต่าง ๆ ที่คนเลี้ยงช้างแต่ละคนมี โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง ก็ทำให้ทางเดินชีวิตของบางคนมีตัวเลือกไม่มาก ทั้งนี้ ผู้ใหญ่บ้านคนเดิมได้เล่า หมู่บ้านตากลาง หมู่บ้านนี้เป็นชุมชนชาวกวยดั้งเดิมอีกแห่งของ จ.สุรินทร์ โดย เอกลักษณ์โดดเด่นของชาวกวยคือความชำนาญในการคล้องช้างป่าและฝึกหัดช้าง ซึ่งนับตั้งแต่อดีตชาวกวยจะเป็นหนึ่งในคนที่ออกไปคล้องช้างป่า แล้วนำมาฝึกฝน ก่อนจะส่งช้างที่ฝึกไปให้กับทางกรุงศรีอยุธยา เพื่อนำไปใช้ในการศึกสงคราม และแม้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่วิถีภูมิปัญญาเกี่ยวกับการคล้องและฝึกช้างเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในสายเลือดของชาวกวยทุกคน ทำให้เด็กที่เติบโตมาในหมู่บ้านทุกคนจึงมีความผูกพันกับช้างมาก ซึ่งเมื่อเด็กเริ่มโตเป็นหนุ่มก็จะเริ่มเข้าเส้นทางการเป็น “ควาญช้าง” และพอมีประสบการณ์มากขึ้น บางคนก็อาจจะยกระดับสู่การเป็น “หมอช้าง”
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“พอเริ่มเป็นหนุ่มก็จะมีโอกาสได้ติดตามหมอช้างออกไปจับช้าง แต่ยังจับเองไม่ได้ เพราะคนที่จะคล้องช้างได้ต้องเป็นหมอช้างเท่านั้น ซึ่งการจะได้เป็นหมอช้างคนนั้นต้องผ่านพิธีและได้รับการยอมรับก่อน” เป็นกระบวนการสำคัญในการเปลี่ยนสถานะจากควาญเป็นหมอช้าง ทั้งนี้ ผู้ใหญ่สีราเล่าอีกว่า ในอดีตทุกบ้านต้องมีช้าง และเลี้ยงดูช้างดุจคนในครอบครัว เหมือนพี่น้องลูกหลาน ดังนั้นการฝึกจึงไม่ได้เป็นการทารุณช้าง และไม่ได้ฝึกเพื่อนำไปใช้แรงงานหนักด้วย
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์ส่วน “ปัญหานำช้างไปเร่ร่อน” นั้น เรื่องนี้ผู้ใหญ่บ้านคนเดิมสะท้อนว่า เกิดจากอาหารช้างในพื้นที่เริ่มขาดแคลน ประกอบกับรายได้เลี้ยงชีพไม่พอเพียง ทำให้คนในหมู่บ้านจึงจำเป็นต้องนำช้างออกไปเดินเร่ร่อนเพื่อความอยู่รอดของทั้งคนและช้าง เพราะจะให้ทิ้งขว้างปล่อยให้ช้างอดก็ทำไม่ได้ ดังนั้นแม้จะถูกคนภายนอกตราหน้าว่าเอาช้างออกมาขอทาน ก็ต้องก้มหน้ารับ แต่สิ่งที่อยากสื่อสารกับสังคมคือ ชาวกวยทุกคนไม่ได้มองช้างเป็นสัตว์ แต่รักเคารพช้างเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นดุจพี่น้อง อย่างไรก็ตาม โชคดีที่หลายภาคส่วนเข้าใจปัญหา และเริ่มยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทั้งคนและช้าง จนเกิด “โครงการนำช้างคืนถิ่น” หรือ “โครงการคชอาณาจักร” ขึ้น เพื่อนำช้างกลับมาบ้านเกิด จนทำให้ที่นี่กลายเป็นหมู่บ้านช้างและศูนย์อนุรักษ์ช้างที่ใหญ่ที่สุด และยังสร้างรายได้ให้คนในชุมชนจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“ปัจจุบันชาวบ้านมีรายได้เข้ามาหลายทาง โดยควาญช้างและช้างที่เข้ามาอยู่ในโครงการจะได้เงินเดือนไว้เป็นค่าใช้จ่าย ค่าอาหารช้าง นอกจากนั้น ช้างนี่จะมีช่องยูทูบหรือติ๊กต๊อกไว้สำหรับไลฟ์โชว์ความน่ารัก จนหลายเชือกล้วนมี FC มีแฟนคลับที่มีทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยแฟนคลับจะคอยซัพพอร์ตเรื่องค่าอาหาร หรือเวลาช้างไม่สบายก็จะส่งค่ายารักษามาให้” สีรา ผู้ใหญ่บ้านที่นี่ ฉายภาพการปรับตัว จนส่งผลทำให้เกิดมี “ด้อมช้างบ้านตากลาง”
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์ด้าน “ประดิษฐ์ ศาลางาม” รองประธานโฮมสเตย์ และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า ช้างบ้านตากลางเคยมีจำนวนมากที่ออกไปหากินนอกพื้นที่ เนื่องจากปัญหาความแออัดของพื้นที่ เพราะทุก ๆ ปีจะมีช้างเกิดใหม่เพิ่มขึ้น แต่พื้นที่หมู่บ้านมีจำกัด ทำให้เกิดความต้องการพื้นที่ อีกทั้งเมื่อช้างเยอะขึ้น ปริมาณอาหารที่มีก็ไม่พอเพียง ทำให้ทั้งช้างและคนจึงต้องกระจายตัวกันออกไปที่อื่น เพื่อความอยู่รอด เพื่อหากิน จนเกิดเป็น “ภาพชวนหดหู่” กับภาพช้างตัวใหญ่ที่ต้องเร่ร่อนเดินหากินบนถนน
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์เรื่องนี้เคยเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศแต่หลังจากที่มี พระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โครงการนำช้างคืนถิ่นจึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ เพื่อทำให้ช้างเร่ร่อนได้กลับมาอยู่บ้านเกิดอีกครั้ง ภายใต้การดูแลของ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยจะมีการรับช้างที่เร่ร่อนกลับมาดูแล และให้เงินเดือนช้างราว ๆ เชือกละ 10,000 กว่าบาท และให้มีแปลงปลูกหญ้าให้ช้างกิน เพื่อให้ควาญช้างอยู่ได้และช้างเองก็มีกินมีอยู่ ซึ่งในศูนย์ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกกับช้าง ไม่ว่าจะเป็นการพาช้างเล่นน้ำ การแสดงโชว์ความสามารถของช้าง ทั้งเต้นรำ วาดรูป ปาเป้าลูกโป่ง และเตะฟุตบอล จนก่อเกิดผลดีทั้งต่อคนและช้าง
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“ปัจจุบันมีช้างกลับเข้ามาอยู่มากขึ้น ทำให้เกิดความอบอุ่น ลูกหลานไม่ต้องแยกกันออกไปนอกหมู่บ้าน กับไม่สร้างปัญหาให้คนทั่วไป อีกทั้งช้างก็ไม่ต้องไปเสี่ยงเดินเร่ร่อนจนโดนรถเฉี่ยวชน ซึ่งปัจจุบันมีช้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทาง อ.ท่าตูม ประมาณ 445 เชือก มีทั้งช้างที่อยู่ในโครงการและนอกโครงการ แต่ก็ยังมีช้างที่ยังว่างงานอีกหลายเชือกที่ยังไม่ได้ร่วมโครงการนี้ เนื่องจากปีหนึ่ง ๆ จะมีงบประมาณที่สามารถดึงช้างเข้าโครงการได้แค่ปีละ 4-5 เชือก แล้วแต่ภาครัฐจะมีงบมาให้ ซึ่งส่วนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็ต้องดูแลตัวเอง ก็นำวิธีไลฟ์สดขายอาหารมาช่วย ทำให้คนเลี้ยงมีรายได้เข้ามาช่วย ซึ่งกระแสตอบรับค่อนข้างดีมาก จนตอนนี้ช้างหลายเชือกต่างก็มีแฟนคลับของตัวเอง ซึ่งเหล่าแฟนคลับต่างก็ช่วยสนับสนุนค่าอาหารให้ช้างที่ตัวเองเป็นด้อมอยู่” ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้ม
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์บางส่วนของกิจกรรมในโปรแกรมท่องเที่ยว
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์ขณะที่ “พร พันธ์ดี” ศิลปินชาวกวย ที่ถ่ายทอดวิถีระหว่างคนกับช้างของชาวกวยผ่านการวาดภาพ ที่พ่วงด้วยดีกรีเป็น “หมอช้าง” ด้วย เล่าเสริมว่า ในอดีตชาวกวยจะเดินทางไปคล้องช้างกันแถวบริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา แต่หลังจากได้มีการห้ามไม่ให้ออกไปคล้องช้าง ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถไปคล้องช้างในบริเวณดังกล่าวเหมือนในยุคอดีต แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ยังคงพยายามอนุรักษ์วิถีเลี้ยงช้างไว้ อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ทำให้วันนี้อาจจะไม่ได้มีการเลี้ยงเหมือนกันทุกบ้านเหมือนยุคปู่ย่าตายาย แต่ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงช้างไว้ ทุกคนก็ยังมี “สายสัมพันธ์เหนียวแน่น” เกี่ยวกับช้างเหมือนเช่นในอดีต โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ “มุมความเชื่อ” อย่างเช่นเรื่อง “เชือกปะกำ” เป็นต้น
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“ชาวบ้านนับถือเชือกปะกำว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์รักษาอยู่ ซึ่งบ้านชาวกวยทุกคนนอกจากจะมีศาลตายาย ศาลพระภูมิ จะมีศาลปะกำประจำบ้าน โดยเชือกปะกำเป็นของสำคัญที่ใช้คล้องช้างซึ่งจะต้องได้รับการปลุกเสกจากหมอช้างรุ่นใหญ่ มีการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณปู่ย่าตายาย และพระครูปะกำ ให้มาสถิตที่เชือก โดยเชือกปะกำนี้สามารถคล้องจับช้างตัวใหญ่ ๆ ได้โดยไม่ขาด โดยปะกำนั้นจะทำจากหนังควาย 3 ตัว นำมาทำเป็นเชือก 3 เส้นควั่นให้เป็นเส้นเดียว ซึ่งจะมีความยาวประมาณ 40 เมตร โดยความเชื่อนี้ก็ยังสืบทอดมาถึงปัจจุบัน”
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์ศิลปินชาวกวยคนเดิมอธิบายความสำคัญของ “ปะกำ” ที่ชาวกวยมีความเชื่อ พร้อมย้อนกลับไปพูดถึง “โครงการนำช้างคืนถิ่น” ว่าดีต่อช้างและคน เพราะทำให้ช้างอยู่ในพื้นที่ ไม่ต้องไปเร่ร่อนเสี่ยงอันตราย และยังช่วยรักษาวิถีและประเพณีดั้งเดิมไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะทำให้วิถีคนกับช้างเหมือนเมื่อก่อนหวนคืนกลับมา แต่บางเรื่องก็ต้องยอมให้เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเลื่อนตำแหน่งของหมอช้างในแบบเดิม ๆ ที่วันนี้ไม่มีแล้ว เพราะไม่มีการออกไปคล้องช้างป่าเหมือนในยุคอดีต จึงต้องทำรูปแบบจำลองเพื่อให้คนได้มองเห็นภาพ ด้วยการจำลองพิธีการคล้องช้างขึ้นโดยใช้ช้างเลี้ยงมาแทนช้างป่า โดยจะมีหมอช้างรุ่นใหญ่ของหมู่บ้านมาทำ “พิธีปะชิ” เพื่อเลื่อนตำแหน่งจากควาญช้างกลายมาเป็นหมอช้าง
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์จำลอง “พิธีเซ่นผีปะกำ” ที่ยุคอดีตทำก่อนออกคล้องช้างป่า
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“อย่างรุ่นผมไม่ทันออกไปคล้องช้าง แต่ทันเลี้ยงช้าง และได้เข้าพิธีเลื่อนตำแหน่งเป็นหมอช้างซึ่งทำขึ้นเพื่อดำรงไว้ซึ่งวิถีประเพณีวิถีวัฒนธรรม เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้มีคนรุ่นใหม่ ๆ ที่สนใจเป็นหมอช้างน้อยแล้ว”
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์พร ระบุ พร้อมพูดถึงอีกหนึ่ง “ความเชื่อ” สำคัญ คือเรื่อง “สุสานช้าง” โดยเมื่อช้างของคนในหมู่บ้านล้มหรือตายในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ในพื้นที่ ก็จะต้องนำกระดูกกลับมาฝังไว้ที่สุสานช้าง ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ วัดป่าอาเจียง บ้านหนองบัว ซึ่งเป็นสถานที่เก็บกระดูกช้างที่ล้มให้กลับคืนถิ่นมาอยู่รวมกัน โดยชาวบ้านตากลางจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทุกปีในวันช้างไทย
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์นี่ก็เป็นเรื่องราวน่าสนใจที่ “ทีมวิถีชีวิต” นำมาเสนอเพื่อฉายภาพ “วิถีชุมชนชาวกวยบ้านตากลาง”ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ฉายภาพ “สัมพันธ์เหนียวแน่นระหว่างคนและช้าง” ที่น่าชื่นชม จนทำให้ที่นี่กลายเป็น “ศูนย์คชศึกษา” เพื่อดูแลอนุรักษ์ช้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดี คนเลี้ยงก็สามารถสร้างรายได้-สร้างอาชีพ จากการเป็น “แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” ยกระดับชีวิตได้ ทั้งคนและช้าง.
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์คณะ ธ.ก.ส. เยี่ยมชมการดำเนินงาน
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์‘สนับสนุนช่วยชุมชนยกระดับ’
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์“หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง” ได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้งด้าน “การพัฒนาองค์ความรู้” ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านโครงการอบรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นโดยทางธนาคาร เช่น ฝึกอบรมการบริหารจัดการชุมชน อบรมวิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงฝึกอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพคนในชุมชน โดยองค์ความรู้ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับชุมชน นอกจากนั้น ธ.ก.ส. ยังให้การสนับสนุนทางด้าน “การตลาดและพัฒนาชุมชน” เพื่อชูจุดเด่นของชุมชนนำมาสร้างเอกลักษณ์หรือจุดขาย ภายใต้ชื่อ “โครงการชุมชนต้องเที่ยว” โดยเข้าช่วยวางแผน สร้างจุดบริการ และจัดโปรแกรมท่องเที่ยวให้ และนอกจากการสนับสนุนข้างต้นแล้ว ธ.ก.ส. ยังได้ให้ “การสนับสนุนด้านการเงิน” เพื่อสนับสนุนการเติบโตของชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการสินเชื่อ รวมวงเงินกว่า 40 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนประกอบอาชีพ ในการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ทำให้ชาวบ้านสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ดีขึ้น ควบคู่ไปพร้อม ๆ กับการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน.
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
ผูกพันพึ่งพากันกลายเป็นหนึ่งเดียววิถีชีวิตชุมชนบ้านตากลางสัมพันธภาพอันงดงามช้างและคนเดลินิวส์