【ผลบอลสดสำรอง1】‘สู้ชีวิตเท่ ๆ’ กรณีศึกษาน่าสนใจ ‘วิถีหนุ่ม ๆ น่าทึ่ง 2567’ ปีไหน ๆ ก็..‘พลังใจสำคัญที่สุด!!’ | เดลินิวส์

รอบปี 2567 ที่จะผ่านพ้นสู่ปีใหม่ 2568 ในอีกไม่ช้าไม่นาน ในจำนวนราว ๆ ครึ่งร้อยชีวิตที่ “ทีมวิถีชีวิต” นำเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจมาเสนอไปนั้น ก็มีทุกเพศสภาพ และก็มีทุกช่วงวัย ซึ่งสำหรับ “ผู้ชาย-ชายหนุ่ม”นั้น ในรอบปีนี้ก็มีหลาย ๆ คนที่ “สู้ชีวิตได้น่าสนใจ”มาก ๆ มีหลายคนที่ “สู้ชีวิตแบบเท่ ๆ” ที่ “ทีมวิถีชีวิต” ประมวลสรุปมาเสนอส่งท้ายปีในวันนี้

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

กอล์ฟ-ธนกร สดใส

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“ตอนที่คนรอบตัวรู้ว่าเราจะนำกล้วยตานีมาแปรรูปเป็นสินค้า ทุกคนก็ทักท้วงว่า กล้วยตานีเป็นกล้วยผี เอามาทำแล้วใครจะซื้อ เราก็เลยต้องมาคิดว่าจะทำยังไงดี จนพบไอเดียว่าเราไม่ต้องไปเปลี่ยนความเชื่อ แค่ต้องเปลี่ยนให้มีมูลค่า” เป็นเสียงจาก “กอล์ฟ-ธนกร สดใส” ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านช่างสกุลบายศรี ต.เจ็ดเสมียน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เจ้าของแนวคิด “ปลุกกล้วยผีเป็นราชินีกล้วย” ที่แนวคิดนี้ได้กลายเป็น “แรงบันดาลใจ” ทำให้เกิดเป็นแบรนด์ชื่อไทยอย่าง “ตานีสยาม (Tanee Siam)” ที่ไม่เพียงเป็นสินค้าแฟชั่นแต่ สร้างงาน-สร้างเงินให้ชุมชนบ้านเกิด ด้วย โดยเขาเป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลช่างทำบายศรี ที่เคยคิดจะหนีจากวงจรอาชีพนี้ แต่ก็หนีไม่พ้น ต้องกลับมารับช่วงต่อเป็น ครูสอนทำบายศรีโดยหลังเป็นครูสอนอยู่ 2 ปี ก็ตัดสินใจเปิด ศูนย์เรียนรู้งานพิธีกรรมงานบายศรี เพราะอยากอนุรักษ์งานฝีมือไว้ แต่หลังเปิด คนที่มาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กพิเศษ ไม่ก็ลูกหลานคนในท้องถิ่นที่พ่อแม่เอามาฝาก เพราะไม่มีเวลาดูแล เนื่องจากต้องทำงานหารายได้กัน ทำให้เขาเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเด็กเหล่านี้ขาดความอบอุ่น ทำให้พัฒนาการของเด็กไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้พ่อแม่เด็กยังถูกตามทวงหนี้จากเจ้าหนี้นอกระบบ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความจนที่ผลักให้ทุกคนต้องออกนอกพื้นที่ไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทั้งนี้ หลังเห็น “รากแห่งปัญหา” เขาก็เกิดแนวคิดที่จะนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับกล้วยตานี หรือกล้วยผีในภาษาชาวบ้าน เพื่อคนในชุมชนจะมีรายได้ มีอาชีพ ไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเกิด ซึ่งทุกวันนี้สินค้าแบรนด์นี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย กอล์ฟ ได้ฝาก “แง่คิดดี ๆ” ไว้ว่า “คนเรามีโชคชะตากำหนดไว้ อย่างตัวของผมพยายามหนีให้หลุดจากชีวิตช่างบายศรี แต่ก็หนีไม่พ้น จึงตัดสินใจยอมรับ พร้อมเปิดใจให้กับตัวเองได้ลองอะไรใหม่ ๆ จนพบว่า คนเราต้องเข้าใจ ต้องรู้จักตัวเองชีวิตคนเราจึงจะสุขได้”

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

เบิร์ด-สงวนศักดิ์ ราภิยะ

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“ตอนนั้น กับอาชีพนั้น เรียกว่าเป็นความฝันก็ได้ แต่พอทำไปสักพักก็เริ่มรู้ตัวว่าร่างกายไม่ไหว เหมือนอาชีพนั้นมันไม่ตอบโจทย์ชีวิตเรา ก็เลยตัดสินใจลาออก เพื่อค้นหาเส้นทางชีวิตใหม่” นี่เป็นเสียงของหนุ่ม อดีตนักเทคนิคการแพทย์ ที่ชื่อ “เบิร์ด-สงวนศักดิ์ ราภิยะ” ที่ปัจจุบัน ผันตัวเป็นพ่อค้าขนมเค้ก ที่เล่าสาเหตุที่ตัดสินใจทิ้งอาชีพเดิมมาเริ่มต้นเส้นทางใหม่ ด้วยการก่อร่างสร้างฝันใหม่ทีละนิด จนที่สุดก็มีธุรกิจตัวเองได้สำเร็จ ซึ่งน่าจะเป็น “กรณีศึกษา” ให้หลายคนได้ โดย “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ก้าวสู่อาชีพพ่อค้าขนมเค้กนั้น เขาเล่าย้อนไว้ว่า เริ่มจากไปเรียนทำขนมเค้กกับเพื่อน ซึ่งยอมรับว่าแรก ๆ ไปเรียนเล่น ๆ แต่พอเรียนไปก็ค่อย ๆ ชอบ จนพบว่า การทำขนมเป็นสิ่งที่ชอบ อีกทั้งรู้สึกว่าการทำขนมเป็นงานละเอียดอ่อนเหมือนตอนที่ทำงานห้องแล็บเลย เพราะต้องชั่งต้องตวงเหมือนกัน ก็เลยลงเรียนเพิ่มอีกหลายคอร์ส แต่ก็ยังไม่ได้คิดจะต่อยอด เพราะยังทำงานเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์การแพทย์อยู่ จนเมื่อคุณพ่อเสีย คุณแม่ต้องอยู่คนเดียว เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และทำขนมเค้กส่งขายให้ร้านกาแฟ แต่ทำไปได้สักพักก็เจอปัญหา เนื่องจากไม่ได้ขายขาดให้ร้าน เป็นการฝากขาย จึงเกิดปัญหา เช่น บางร้านดูแลขนมไม่ดี ทำให้ขนมเสียและถูกตีกลับจำนวนมาก หรือบางร้านก็ขายขนมที่วางไว้ไม่หมด ทำให้รู้สึกเหนื่อยขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าทำแล้วไม่ได้อะไร จึงคิดว่าถ้ามีร้านขนมของตัวเองคงจะดีกว่า แต่ตอนนั้นไม่มีทุนเหลือแล้ว เขาจึงกลับไปทำงานอีกครั้ง เพื่อสะสมทุน พอหลังทำงานอีก 1 ปี เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ก็จึงมาเปิดร้าน “Deer Bunny เค้กโฮมเมด” ซึ่งชื่อร้านมาจากปีเกิดของเขา และพอเปิดร้านปุ๊บกระแสตอบรับก็ดีมาก จึงดีใจที่เลือกทางชีวิตได้ถูก โดย เบิร์ด ได้ให้ “แง่คิดการทำตามความฝัน” ไว้ว่า “อยากบอกคนอื่น ๆ ว่าอย่าฝืนเรียนหรือทำอะไรก็ตามที่ไม่มีความสุข เพราะเวลาเจอปัญหาเราจะไม่สู้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบเรารัก เวลามีอุปสรรค ก็ยังสู้ได้อยู่”

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“ต้อม-ณัชญ์ เบ็ญยะมาตร

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“เปิดร้านแรก ๆ ลูกค้าบอกว่าแปลกดี บางคนก็ไม่รู้เมนูนี้ต้องเรียกว่าหมูกระทะไหม” หนุ่มสู้ชีวิตที่ชื่อ“ต้อม-ณัชญ์ เบ็ญยะมาตร” อดีตหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ ที่ตัดสินใจผันตัวมาก่อร่างสร้างตัวจาก “หมูกระทะถ้วย” บอกเล่าไว้ถึงจุดเริ่มต้นของเมนูชื่อแปลกนี้ ที่ได้กลายมาเป็นอาชีพเลี้ยงตัวในปัจจุบัน หลังเขาต้องล้มลุกคลุกคลานจากมรสุมชีวิตลูกต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา โดยหนุ่มสู้ชีวิตคนนี้เล่าว่า เป็นคน จ.มุกดาหาร พื้นเพครอบครัวมีอาชีพทำไร่ทำนา ซึ่งหลังเรียนจบ ปวช. ช่างยนต์ เขาก็เหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไปที่ฝันอยากมีชีวิตดี ๆ โดยตัวเขาเองฝันอยากเป็นข้าราชการด้านการเมืองการปกครอง เพราะชอบทางนี้ จึงมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเรียนต่อคณะรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ทำงานเพื่อหารายได้โดยยึดอาชีพวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อย่างไรก็ดี ทั้งความฝันและชีวิตก็ต้องพลิกผันขณะยังเรียนต่อไม่จบ เพราะจับได้ใบแดง ทำให้ต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี ซึ่งหลังปลดประจำการเขาก็ไปสมัครงานเป็นเซลล์แมน และกลับไปทำอาชีพเดิมด้วย คือขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างหลังเลิกงาน แต่ทำงานประจำสักพักหนึ่งก็ตัดสินใจลาออก เพราะรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย และตัดสินใจเป็นวินมอเตอร์ไซค์เต็มตัว แต่หลังเกิดโควิด-19 ช่วงนั้นคนเวิร์กฟรอมโฮมกันเยอะ การขับวินจึงไม่ค่อยมีลูกค้า ทำให้รายได้ลดลง จึงมองหาอาชีพเสริมอื่น ๆ มาชดเชยรายได้ที่หายไป ก็เลยคิดว่าลองทำหมูกระทะขายดีกว่า เพราะเป็นคนชอบกินอยู่แล้ว ซึ่งทีแรกตั้งใจทำเป็นชุด ๆ พร้อมเตาบริการส่งตามบ้าน โดยนำเงินเก็บที่มีมาลงทุนซื้อเตาหมูกระทะ 10 ชุด และฝันว่าจะเป็นอาชีพใหม่ที่พลิกชีวิตได้ แต่แล้วเขาก็พบว่า “ความจริงกับความฝันมันคนละเรื่องเลย” เพราะเมื่อทำจริง ๆ ปรากฏว่าไม่เวิร์ก เพราะต้องรอให้ลูกค้าสั่งก่อนจึงจะมีรายได้เข้ามา จนที่สุดเขาก็คิดได้ว่า มานั่งรอแบบนี้ไม่ได้การแน่ จึง “เปลี่ยนความคิดใหม่” ว่า จะทำยังไงให้เข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่านี้ ก็เลยเกิดไอเดียทำหมูกระทะถ้วยให้เป็นเหมือนกับเมนูก๋วยเตี๋ยว คือใส่ถ้วยใส่ชามกินได้เลย หนุ่มสู้ชีวิตคนนี้ระบุ พร้อมกันนี้ ต้อม ยังได้ “ส่งกำลังใจถึงคนที่กำลังท้อแท้” ไว้ว่า “คนที่จะเริ่มต้นค้าขายหรือทำธุรกิจ ขอให้อย่าเพิ่งหมดไฟ ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ ขอให้ลองทำให้เต็มที่ก่อน และทำด้วยใจรัก ซึ่งจะช่วยให้ไม่รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ทำ”

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

ปุย-จักรรินทร์ อยู่พิทักษ์

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“ถ้าลงไปหาเงินไม่ได้ ก็ต้องทำให้เงินเดินขึ้นมาหา” นี่เป็น “วิธีคิดน่าสนใจ” ของ “ปุย-จักรรินทร์ อยู่พิทักษ์” ชายหนุ่มผู้เรียนไม่จบชั้น ม.1 แต่ถูกขนานนามให้เป็น “เจ้าสัวแห่งบางกะม่า” อ.บ้านคา จ.ราชบุรี ที่เขาบอกเล่าไว้ ซึ่งชื่อเสียงของเขา และ “ร้านขายของชำ” ที่มีชื่อสะดุดหู-สะดุดตา โด่งดังในโลกโซเชียล และในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างมาก โดยมีผู้คนไป “เช็กอิน” กันตลอด ซึ่งเขาเล่าไว้ว่า หลังตัดสินใจไม่เรียนหนังสือแล้ว ก็ไปทำงานที่ต่าง ๆ โดยเขาทำงานมาแล้วหลากหลายอาชีพมาก ตั้งแต่เป็นช่างทอง ช่างรองเท้า พนักงานขาย บริกรบนรถทัวร์ ช่างไฟ ช่างแอร์ ช่างประปา และวาดรูปขาย ซึ่งเขายอมรับว่าวิธีใช้ชีวิตแบบนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่สำหรับตัวเขาแล้วแบบนี้น่าจะเหมาะกับชีวิตเขามากที่สุด ส่วนจุดเริ่มต้นของร้านขายของชำชื่อสะดุดหูสะดุดตาที่ว่า เริ่มต้นจากการที่ภรรยาของเขารับช่วงร้านต่อจากพ่อแม่ และด้วยความที่ภรรยาเป็นคนใจดี จึงปล่อยให้ลูกค้า “เซ็น” สินค้าอยู่บ่อย ๆ จนยอดยาวไปถึง 4,000 กว่าบาท เขาจึงนำเรื่องนี้มาตั้งเป็นชื่อร้าน จนเป็นที่มาของชื่อร้าน “เซ็นเถอะท่าน” เพื่อจะบอกว่า “ให้มาเซ็นเถอะ” อย่างไรก็ตาม จากตอนแรกที่ยอดเซ็นยังไม่เยอะมาก แต่ผ่านไปครึ่งเดือนยอดก็ทะลุ เป็น 8,000 บาท จึงมาคิดว่าน่าจะไม่ไหวแล้ว ก็เลยตัดคำว่า “เถอะ” ออก จนเหลือแต่คำว่า “เซ็นท่าน” อย่างปัจจุบัน พร้อมเติมคำว่า “ห่างสรรพสินค้า” เข้าไป ห่าง ไม่ใช่ห้าง เพราะร้านนี้ห่างไกลจากคำว่าห้างสรรพสินค้าเยอะ โดยเขาบอกว่า “ห่างสรรพสินค้าเซ็นท่าน” นี้ ขายตั้งแต่เครื่องดื่ม น้ำแข็ง ไข่ มาม่า ปลากระป๋อง ขนม รวมถึงของใช้ส่วนตัว หรือบางทีนักท่องเที่ยวอยากกินข้าว ภรรยาเขาก็จะเปิดครัวทำอาหารตามสั่งขายให้ ส่วนเวลาทำการร้าน จะเปิดตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสายบุญซื้อของไปใส่บาตร และเปิดไปถึง 8 โมงครึ่ง ก็จะปิด แล้วกลับมาเปิดอีกทีตอนเที่ยง พอบ่ายโมงครึ่งก็จะปิดอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาเปิดช่วงเย็น ๆ อีกรอบ ทั้งนี้ ปุย พูดถึงชีวิตของเขาไว้ว่า “จริง ๆ ทุกวันนี้ก็มีความสุขแล้ว สุขแรกคือได้อยู่กับภรรยา สุขต่อมาคือได้ดูแลพ่อตาแม่ยาย และสุขสุดท้ายคือ ได้ใช้ชีวิตในสังคมที่ไม่แข่งขันกันเกินไป”

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

อั้ม-นิพนธ์ อธิลาภ

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“ตั้งแต่เด็กมีความฝันคือ อยากเป็นวิศวกร จนเลือกเรียนด้านนี้ แต่ก็มีเหตุพลิกผันทำให้มาเริ่มต้นอาชีพใหม่กับอาชีพขายปลาเค็ม” เป็น “จุดเริ่มต้น-จุดเปลี่ยน” ของหนุ่มชัยนาทที่ชื่อ “อั้ม-นิพนธ์ อธิลาภ” ที่ได้เล่าถึงเส้นทางอาชีพ “วิศวกร” จนมาสู่การเป็น “พ่อค้าปลาเค็ม” โดยเขาเล่าว่า ขณะเรียนอยู่ปี 3 คุณพ่อก็เสียชีวิต คุณแม่ต้องเป็นเสาหลักครอบครัวคนเดียว ด้วยการทำปลาเค็มขาย จนเขาเรียนจบปริญญาตรีและได้ทำงานเป็นวิศวกร ก็อยากให้คุณแม่และน้องสาวมีชีวิตที่สบายขึ้นกว่าในอดีต จึงทุ่มเทให้กับการทำงานมาก ๆ แต่แล้วก็มีจุดเปลี่ยน เมื่อคุณแม่ตรวจพบมะเร็งมดลูก ระยะ 3 ซึ่งตอนที่ทราบข่าวนี้ก็แทบล้มทั้งยืน แต่ก็ต้องฝืนทำงานต่อไป โดยหลังคุณแม่ตรวจพบมะเร็ง เขาบอกว่า เขาจะคอยทำหน้าที่พาคุณแม่ไปโรงพยาบาลเกือบทุกอาทิตย์ เพราะต้องฉายแสง และต้องให้เคมีบำบัดหรือทำคีโม แต่ด้วยความที่ลางานบ่อย ๆ เพื่อพาคุณแม่ไปโรงพยาบาล ก็เลยกลัวที่ทำงานจะมีปัญหา และหลังคิดเรื่องนี้หลายเดือน ที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และเริ่มต้นเส้นทาง “พ่อค้าปลาเค็ม” เพื่อจะได้อยู่ดูแลคุณแม่ และสานต่ออาชีพครอบครัว อย่างไรก็ดี แม้คิดดีทำดี แต่ก็ไม่วายมีคนมาพูดเสียดสีว่า อุตส่าห์เสียเงินเรียนวิศวะ แต่สุดท้ายก็ต้องมาขายปลาเค็ม ซึ่งเขาบอกว่า พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ “เก็บคำดูถูกไว้เพื่อเตือนตัวเองให้พัฒนา” แม้ตอนเริ่มอาจยาก เพราะไม่มีประสบการณ์แบบคุณแม่ แต่ก็ตั้งใจไว้ตอนที่ลาออกจากงานแล้วว่าจะพัฒนาสินค้าครอบครัวให้เป็นแบรนด์ดังให้ได้ ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว กับการที่เขาสามารถแจ้งเกิดแบรนด์ “วิศวะปลาเค็ม” ได้ และในฐานะเป็น “คนรุ่นใหม่สู้ชีวิต” นั้น ทาง อั้ม อดีตหนุ่มวิศวกรที่ปัจจุบันกลายมาเป็นพ่อค้าปลาเค็ม ก็ได้ฝากให้ “กำลังใจ” ถึงคนที่อาจกำลังเผชิญปัญหาชีวิตไว้ว่า “ต้องสะกดจิตตัวเองด้วยคำว่า อย่าท้อ และให้เดินหน้าสู้ต่อ แม้สู้แล้วอาจจะยังไม่ชนะ ก็ให้ค่อย ๆ สู้ต่อไป โดยพยายามนึกถึงครอบครัวให้มากที่สุด”

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

ครูติ๊ก-ชัชวาลย์ บุตรทอง

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

“ผมโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน เราก็หวังว่าจะเรียนแล้วก็สอบเข้ารับราชการ เพราะคิดว่าพอได้รับราชการแล้วชีวิตก็คงสบายแล้ว ซึ่งก็สอบบรรจุได้เป็นครูโรงเรียนที่ จ.นนทบุรี ก็ไกลบ้านมาก แต่ก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจอยากกลับมาที่บ้านเกิด คือ จ.อุตรดิตถ์ จึงไปสมัครร่วมโครงการครูคืนถิ่น แล้วก็ได้มาบรรจุเป็นครูที่บ้าน” นี่เป็นเรื่องราวของ “ครูติ๊ก-ชัชวาลย์ บุตรทอง” ของ เด็ก Drop out ที่หลุดจากห้องเรียน โดยเขาตัดสินใจลุกขึ้นมาค้นหาวิธีช่วยเด็กกลุ่มนี้ด้วยวิธี “คิดนอกกรอบ” เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาพื้นที่ จนทำให้เกิดโมเดลน่าสนใจชื่อ “โรงเรียน 4 ตารางวา” ขึ้นมา โดยเขาเล่าไว้ว่า ก่อนมาดูแลเด็ก ๆ กลุ่มนี้เขาก็เป็นครูสอนเด็กในระบบปกติ แถมเป็นครูฝ่ายปกครองเสียด้วย ซึ่งก็ทำหน้าที่นี้อยู่หลายปี จนมีเรื่องหนึ่งมาสะกิดใจ ทำให้กลับมาคิดว่าการเป็นครูไม่จำเป็นต้องยืนจุดนั้นจุดเดียว แต่มีหลาย ๆ พื้นที่ที่ยังช่วยเด็กได้ โดยสาเหตุที่ตัดสินใจจะผลักดันให้เกิดโรงเรียน 4 ตารางวานี้ให้ได้นั้น เกิดจากเขาได้พบเด็กคนหนึ่งที่เคยเรียนอยู่ในระบบ แต่ช่วงหนึ่งหลุดจากโรงเรียนไป เพราะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนวันที่กลับออกมา เด็กก็มาหาเขา พร้อมบอกว่าอยากกลับเข้าเรียนอีกครั้ง เขาจึงไปขอกับผู้ใหญ่ แต่โรงเรียนไม่เอาด้วย ไม่รับเด็กกลับเข้ามา เพราะกลัวเป็นปัญหา ทำให้เขามองว่า เรื่องนี้เป็นความหวาดกลัวของระบบการศึกษา ซึ่งหลังไม่ประสบความสำเร็จในการช่วยเด็กกลับเข้าห้องเรียน สุดท้ายเด็กที่หลุดจากระบบก็กลับสู่วังวนชีวิตเดิม ๆ ซึ่งเขามองว่า ถ้าไม่มีระบบอะไร ไม่มีพื้นที่อะไรให้เด็ก ๆ กลับเข้าสู่ระบบเรียนรู้ ปัญหาแย่ ๆ ก็จะไม่มีวันหมดสิ้น และจะเกิดเป็นวงจรซ้ำ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ เขาจึงคิดว่าหากผลักดันให้เกิดพื้นที่เรียนรู้นี้ขึ้น อย่างน้อยจะได้ช่วยเพิ่มพูนทักษะให้เด็กนำไปออกแบบชีวิตตัวเองได้ โดย ครูติ๊ก ได้พูดถึง “ความสุขในมุมคนอาชีพครู” ของเขาไว้ว่า “ถ้าถามว่าความสุขเรื่องนี้คืออะไร แน่นอนไม่ใช่การที่เด็กมาขอบคุณ แต่คือการที่เราได้ช่วยเขาแล้ว แล้วเขาเดินกลับมาหา และบอกกับเราว่า ครูครับ ผมอยากช่วยคนอื่น ๆ ต่อเหมือนกับครู”

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

เหล่านี้เป็นตัวอย่าง “วิถีชีวิตหนุ่ม ๆ นักสู้ที่น่าทึ่ง ปี 2567” ที่ “ทีมวิถีชีวิต” สรุปมาเสนอโดยสังเขป เพื่อสะท้อนว่า “พลังใจยังสำคัญกับชีวิตเสมอ” กับ “ทำให้ชีวิตสร้างเซอร์ไพรส์ได้” อีกด้วย และรวมไปถึงในบางครั้งก็ยังสามารถ “มีพลังไปใช้ช่วยคนอื่น ๆ ด้วย”.

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์

ทีมวิถีชีวิต : รายงาน

สู้ชีวิตเท่ๆกรณีศึกษาน่าสนใจวิถีหนุ่มๆน่าทึ่งปีไหนๆก็พลังใจสำคัญที่สุดเดลินิวส์