【บัวผันฟันยับ เต็มเรื่องฟรี】"พรีไบโอติก VS โพรไบโอติก" ต่างกันยังไง-กินแบบไหนถึงเวิร์ก? | เดลินิวส์
ในช่วงนี้ หลายๆ คนคงจะเห็นกระแสความสนใจเรื่องการทาน โพรไบโอติก และ พรีไบโอติก ว่าเป็นจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกาย แต่ก็ยังคงสงสัยกันมิใช่น้อย ว่าเจ้าโพรไบโอติก และพรีไบโอติกนี้ แตกต่างกันอย่างไร วันนี้ Healthy Clean ขอพาไปไขสงสัยกัน
พรีไบโอติกVSโพรไบโอติกquotต่างกันยังไงกินแบบไหนถึงเวิร์กเดลินิวส์
โดย นพ.นิธิวัฒน์ ศรีกาญจนวัชร อายุรแพทย์ ประจำศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ได้เผยข้อมูลว่า… สำหรับ โพรไบโอติก (Probiotic) คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะสุขภาพลำไส้ เมื่อลำไส้มีสมดุลจุลินทรีย์ที่ดี จะส่งผลให้สุขภาพดีขึ้นได้ในหลายๆ ด้าน เช่น ทำให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการก่อโรคของจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ช่วยเรื่องระบบเผาผลาญ รวมไปถึงการสร้างสารสื่อประสาทที่ออกฤทธิ์ในสมองซึ่งมีผลต่อสุขภาพจิตใจ โดยประโยชน์ที่ได้จะขึ้นกับสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ ตัวอย่าง Probiotic ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เช่น แลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) เป็นต้น
พรีไบโอติกVSโพรไบโอติกquotต่างกันยังไงกินแบบไหนถึงเวิร์กเดลินิวส์
ส่วน พรีไบโอติก (Prebiotic) คือ อาหารของจุลินทรีย์โพรไบโอติก ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ แต่ทำให้จุลินทรีย์โพรไบโอติกเจริญเติบโตได้ดี เช่น ใยอาหารอินนูลิน (Inulin) ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS) เป็นต้น
พรีไบโอติกVSโพรไบโอติกquotต่างกันยังไงกินแบบไหนถึงเวิร์กเดลินิวส์แล้วคนกลุ่มไหนควรรับประทานโพรไบโอติก และพรีไบโอติก?
คนที่ควรรับประทานโพรไบโอติก เช่น
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพลำไส้ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง หรือท้องเสียบ่อย
ผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะทำให้จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ตายไป จึงควรฟื้นฟูสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้หลังรับประทานยาปฏิชีวนะครบ
ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งคนทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานโพรไบโอติกได้ ยกเว้นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่ไม่ควรรับประทานซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
คนที่ควรรับประทานพรีไบโอติก เช่น
ผู้ที่รับประทานโพรไบโอติก และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของโพรไบโอติก
ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง

ข้อห้ามของคนที่ไม่ควรรับประทาน?
โดย คนที่ไม่ควรรับประทานโพรไบโอติก (หากต้องการรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน) ได้แก่..
1. ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เพราะระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้
2. ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดลำไส้ หรืออวัยวะในช่องท้อง หากรับประทานโพรไบโอติก อาจเพิ่มโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
3. ผู้ที่มีโรคลำไส้อักเสบรุนแรง (เช่น Ulcerative colitis, Crohn s disease, Severe IBD) การรับประทานโพรไบโอติก อาจทำให้การอักเสบเป็นมากขึ้นจากการกระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินไป
4. ผู้ที่มีภาวะการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากผิดปกติ (Small intestinal bacterial overgrowth หรือ SIBO) การรับประทานโพรไบโอติกอาจทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้องเพิ่มขึ้นได้

คนที่ไม่ควรรับประทานพรีไบโอติก ได้แก่..
1. ผู้ที่มีภาวะการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากผิดปกติ (SIBO) หรือมีลำไส้แปรปรวนรุนแรง การรับประทานพรีไบโอติก จะทำให้เกิดการหมักและเกิดแก๊สเพิ่มขึ้น ทำให้ท้องอืด แน่นท้อง ท้องเสียเพิ่มขึ้นได้
2. ผู้ที่มีอาการข้างเคียงจากอาหารที่มี FODMAP สูง เช่น ผู้ที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หลังรับประทานกระเทียม หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง ควรหลีกเลี่ยงพรีไบโอติกที่มาจากอาหารเหล่านี้
แล้ว โพรไบโอติก และพรีไบโอติก อยู่ในอาหารประเภทไหนมากที่สุด?
โพรไบโอติก อยู่ในอาหารที่ผ่านการหมัก เช่น กิมจิ โยเกิร์ต คีเฟอร์ คอมบูชา เทมเป้ นัตโตะ มิโสะ
พรีไบโอติก อยู่ในอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น กระเทียม หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย แอปเปิล ถั่ว ธัญพืชต่างๆ

โพรไบโอติก และพรีไบโอติก ควรรับประทานแบบไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ดีที่สุด และการรับประทานแบบไหนจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี? การรับประทานที่จะได้ผลลัพธ์ดีนั้น หากสามารถรับประทานทั้งโพรไบโอติกและพรีไบโอติกควบคู่กันได้ จะทำให้โพรไบโอติกได้รับอาหารที่ดีและเจริญเติบโตได้ดี โดยกรณีที่รับประทานโพรไบโอติกเสริม แนะนำให้รับประทานขณะท้องว่าง (เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนเข้านอน) เพื่อเพิ่มโอกาสให้จุลินทรีย์สามารถผ่านกระเพาะอาหารซึ่งเป็นกรดเข้าไปถึงลำไส้ได้ดีขึ้น
พรีไบโอติกVSโพรไบโอติกquotต่างกันยังไงกินแบบไหนถึงเวิร์กเดลินิวส์การรับประทานที่จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น
รับประทานพร้อมอาหารร้อน เพราะความร้อนจะทำลายจุลินทรีย์ ทำให้โพรไบโอติกตายไปก่อน
รับประทานแต่โพรไบโอติกโดยไม่รับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกเลย ทำให้โพรไบโอติกเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร
รับประทานอาหารแปรรูป หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูงมากจนเกินไป ทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีเติบโตได้ดี ซึ่งอาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์จากการรับประทานโพรไบโอติกได้เท่าที่ควร

โพรไบโอติกและพรีไบโอติก มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง?
ข้อดีของการรับประทานโพรไบโอติกและพรีไบโอติก
ทำให้สมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ดีขึ้น ป้องกันการก่อโรคของจุลินทรีย์ที่ไม่ดี
ลดอาการท้องผูกเรื้อรัง หรือท้องเสียบ่อย
ช่วยให้การย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ดียิ่งขึ้น
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเป็นปกติ ลดการอักเสบของร่างกาย
ช่วยเรื่องระบบเผาผลาญ สมดุลฮอร์โมนในร่างกาย
ช่วยเรื่องการสร้างสารสื่อประสาท มีผลต่อการทำงานของสมองและสุขภาพจิต
อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตัวเอง
ข้อเสียของการรับประทานโพรไบโอติกและพรีไบโอติก
ในบางรายอาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืดเพิ่มขึ้น
หากได้รับโพรไบโอติกปริมาณสูงเกินไป อาจรบกวนสมดุลจุลินทรีย์เดิมของร่างกาย
ในรายที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพิ่งได้รับการผ่าตัดลำไส้ หรือเป็นโรคลำไส้อักเสบรุนแรง การรับประทานโพรไบโอติกอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการอักเสบเพิ่มขึ้นได้

การรับประทานโพรไบโอติกและพรีไบโอติก จึงควรพิจารณาตามสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยเลือกชนิดและปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่เหมาะสม แม้ในภาพรวมจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน แต่หากมีภาวะที่ต้องระวังในการรับประทานเสริม ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน หรือถ้าไม่แน่ใจ อาจเริ่มจากการรับประทานปริมาณน้อย และสังเกตอาการตนเองหลังรับประทาน นอกจากการเสริมโพรไบโอติกและพรีไบโอติกแล้ว การมีสุขภาพดีในระยะยาว ควรเน้นไปที่การปรับโภชนาการ การนอนหลับ การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสมควบคู่ไปด้วยครับ นพ.นิธิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย..
พรีไบโอติกVSโพรไบโอติกquotต่างกันยังไงกินแบบไหนถึงเวิร์กเดลินิวส์……………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”
อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…คลิก…