【22 win เครดิตฟรี】เนสท์เล่จับมือเกษตรกร แก้วิกฤตนมดิบขาดแคลน-ความต้องการพุ่ง 7%! | เดลินิวส์

รู้หรือไม่? ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านอุปทานน้ำนมดิบ เนื่องจากความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตถึง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่อุปทานกลับลดลง นี่จึงถือเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภค ผู้ผลิต และเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้มีหลายประการ

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ปัจจัยที่ทำให้อุปสงค์นมเพิ่มสูงขึ้นนั้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์นมซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนและแคลเซียมเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การรณรงค์ให้ดื่มนมของภาครัฐและภาคเอกชนก็มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคนมมากขึ้นอีกด้วย

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ในขณะเดียวกัน อุปทานนมกลับลดลง ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านการผลิต ไม่ว่าจะเป็น ราคาอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตนมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจำนวนหนึ่งจึงตัดสินใจเลิกกิจการไป ทำให้ปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตได้ลดลง ทั้งยังมีเรื่องของปัญหาโรคระบาดในโคนมที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตนม ตลอดจนปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและการผลิต นอกจากนี้ อุตสาหกรรมโคนม ยังเป็นหนึ่งในภาคส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกอย่าง ‘มีเทน’ ที่มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 26 เท่าอีกด้วย

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายนมในตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้น ผู้บริโภคบางส่วนอาจต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค หรือหันไปบริโภคผลิตภัณฑ์ทดแทนอื่นๆ ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการแปรรูปนมก็ต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและปริมาณวัตถุดิบที่จำกัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไรและความสามารถในการแข่งขัน

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ดังนั้นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ‘เนสท์เล่’ (Nestlé) ผู้นำด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมการผลิตนมอย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมมือกับเกษตรกรไทยในการนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการฟาร์มโคนม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำนมดิบที่มีคุณภาพ ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยตอบสนองความต้องการของตลาดภายในประเทศได้อย่างเพียงพอ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรผู้ผลิตนมและส่งเสริมการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

สลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า เนสท์เล่ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดหาน้ำนมดิบที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืน เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด อาทิ ไมโล ตราหมี และเนสกาแฟ โดยเนสท์เล่ได้ดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มโคนม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ปัจจุบัน น้ำนมดิบที่เนสท์เล่ใช้ทั้งหมดได้ผ่านมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน 100% แล้ว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ผลิต

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

สลิลลา กล่าวต่อไปว่า เนสท์เล่ซึ่งมีความร่วมมือกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยมายาวนานกว่า 40 ปี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมนมในประเทศไทย จึงได้ริเริ่มโครงการนำร่องฟาร์มโคนมต้นแบบที่มุ่งเน้น ‘หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู’ ซึ่งเป็นแนวทางการผลิตที่มุ่งเน้นการปกป้อง ทดแทน และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะดิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ การนำมูลวัวมาหมักทำปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน นอกจากนี้ การปลูกพืชหมุนเวียนและการจัดการระบบนิเวศในฟาร์มยังส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย เพื่อให้ฟาร์มโคนมมีความยั่งยืนยิ่งขึ้น เนสท์เล่ยังส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดต้นทุนการผลิต

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ด้าน ‘ศิรวัจน์ ปิณฑะดิษ’ นักวิชาการเกษตรจากบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกร เปิดเผยว่า เนสท์เล่เป็นผู้นำในการนำแนวคิดเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูมาประยุกต์ใช้ในฟาร์มโคนมของประเทศไทยเป็นรายแรก โดยเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูนี้มุ่งเน้นการบริหารจัดการฟาร์มอย่างครบวงจรใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาการจัดการอาหารและโภชนาการ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

“จากการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหญ้าหลายชนิดผสมกับพืชตระกูลถั่วในแปลงเดียวกัน ทำให้ได้หญ้าอาหารที่มีคุณภาพสูงและอุดมไปด้วยโปรตีน ส่งผลให้ปริมาณและคุณภาพของน้ำนมดิบเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสามารถผลิตน้ำนมดิบได้เฉลี่ย 13.5 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 11.7 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน อีกทั้งระดับโปรตีนในน้ำนมดิบยังเพิ่มขึ้นเป็น 3.02% จากเดิม 2.94% ซึ่งบ่งชี้ถึงสุขภาพที่ดีของแม่โคและคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้นของน้ำนม นอกจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว การปลูกพืชหลายชนิดยังช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลง เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในฟาร์มอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการเกษตรกรรมที่ยั่งยืน” ศิรวัจน์ กล่าวต่อ

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ที่ผ่านมา เนสท์เล่ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรนำมูลโคมาใช้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการนำไปตากแห้งเพื่อแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง บำรุงดินในแปลงหญ้าอาหารสัตว์ และสร้างรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายปุ๋ยคอก รวมถึงสนับสนุนการติดตั้งระบบบ่อไบโอแก๊สเพื่อนำก๊าซชีวภาพที่ได้จากการหมักมูลโคไปใช้เป็นพลังงานในการหุงต้ม ซึ่งเป็นการบริหารจัดการของเสียในฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากมูลสัตว์ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในบางพื้นที่ จึงร่วมผลักดันให้เกษตรกรติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำใช้ในการเกษตร ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต นอกจากนี้ การนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูมาประยุกต์ใช้ในฟาร์มโคนมยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,000 ตันต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2561

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ขณะที่ ‘วรวัฒน์ เวียงแก้ว’ ตัวแทนเกษตรกรโคนม อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ได้กล่าวถึงความท้าทายที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมต้องเผชิญ ซึ่งรวมถึงปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย อาทิ ปัญหาระบบไฟฟ้าที่เข้าไม่ถึงในพื้นที่ การลดลงของผลผลิตน้ำนม และการเพิ่มสูงขึ้นของต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนอาหารสัตว์ข้น ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและทำให้จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมลดลงอย่างต่อเนื่อง

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

“ผมเริ่มทำฟาร์มโคนมในปี 2561 และได้ร่วมงานกับเนสท์เล่ ในช่วงปี 2564 จากการเป็นสมาชิกเกษตรกรโคนมพิมาย ทางเนสท์เล่ได้ลงพื้นที่มาพูดคุยถึงปัญหาในการทำฟาร์ม ช่วยหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต รวมทั้งแนะนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเข้ามาประยุกต์ใช้ จึงได้เริ่มเป็นฟาร์มโคนมนำร่อง มีการทำแปลงหญ้ารูซี่ หญ้าไนล์ และปลูกพืชถั่วร่วมด้วย ทำบ่อไบโอแก๊ส ตากมูลวัว ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพราะไฟฟ้าเข้ามาไม่ถึง ตอนนี้จึงเป็นฟาร์มที่ใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 100% และสามารถสูบน้ำบาดาลมาใช้กับแปลงหญ้าได้ตลอดปี รวมทั้งนำมูลโคตากแห้งไปขายเพื่อเป็นรายได้เสริมอีกด้วย” วรวัฒน์ กล่าว

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

จากการเดินหน้าส่งเสริมการเกษตรเชิงฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคการทำการเกษตรที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมใน 3 สหกรณ์ จำนวนกว่า 160 ฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรที่นำหลักการดังกล่าวไปปรับใช้ในฟาร์มของตนเองแล้วมากกว่า 40 ราย ส่งผลให้สามารถผลิตน้ำนมดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน GAP ของกรมปศุสัตว์ และจำหน่ายให้กับเนสท์เล่ผ่านสหกรณ์ในราคาที่เป็นธรรม โดยยึดตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคการเกษตรของประเทศ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคง สอดคล้องกับพันธกิจของเนสท์เล่ในการสร้างสรรค์คุณค่าร่วมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

เนสท์เล่จับมือเกษตรกรแก้วิกฤตนมดิบขาดแคลนความต้องการพุ่งเดลินิวส์